...ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมเวปด้วยความยินดียิ่งครับผม ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด จงอย่าช้ารีบเร่งทำความดี...

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม


เฟสบุ๊คเพื่อสนทนาปัญหาธรรมะและเผยแผ่ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และโอวาทธรรม คำสอน พ่อแม่ครูอาจารย์พระอรหันต์ครับ
ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด จงอย่าช้ารีบเร่งทำความดี

www.facebook.com/groups/226951157350091

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม นามเดิมของท่านชื่อ ตื้อ ปาลิปัตต์ เป็นบุตรของนายปา และนางปัตต์ ปาลิปัตต์ หลวงปู่ตื้อ ถือกำเนิดเมื่อวันจันทร์ ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๓๑ ตรงกับวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ปีชวด ณ บ้านข่า ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ท่านถือกำเนิดในตระกูลที่ใกล้ชิดกับวัดและรับใช้พระเณรตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้ท่านสนใจการบวชเรียน สนใจศาสนาเป็นชีวิตจิตใจ

อุปสมบท

ท่านได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนาเมื่ออายุ ๒๑ ปี โดยบวชในฝ่ายมหานิกาย เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๒ บวชอยู่นานถึง ๑๙ พรรษา จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๑ จึงได้ญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ที่วัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดยมีท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ( จันทร์ สิริจันโท ) วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์

ออกปฏิบัติธุดงคกรรมฐาน

หลังจากอุปสมบทแล้วมีช่วงหนึ่งที่ท่านได้ไปพักที่ วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี ทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้การปฏิบัติธุดงคกรรมฐาน ท่านรู้สึกว่าถูกกับนิสัยของท่าน และเห็นว่าการปฏิบัติกรรมฐานนั้นเป็นการเดินทางเส้นตรงต่อการบรรลุธรรมอย่างแท้จริง เป้าหมายแรกท่านมุ่งออกธุดงค์ไปทางฝั่งประเทศลาว

หลวงปู่ตื้อ ออกเดินทางจาก จ.อุดรธานี มุ่งหน้าไปทาง จ.หนองคาย แวะพักปฏิบัติภาวนา พร้อมกับโปรดญาติโยมชาวบ้านป่าไปเป็นระยะๆ

เทวดามาบอกที่ซ่อนทองคำ

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ได้เดินทางข้ามแม่น้ำโขงไปทางฝั่งลาว ไปพักทำความเพียรที่เชิงภูเขาควายเป็นเวลา ๔ เดือนเต็ม ที่ภูเขาควายแห่งนี้หลวงปู่ได้นั่งภาวนาเกิดนิมิตเห็นศีรษะคนมีขนาดใหญ่มาก มองเห็นแต่ไกลๆ ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจนเห็นเต็มร่าง ซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตมาก มาหยุดยืนดูท่านอยู่นานพอสมควรโดยไม่พูดจาอะไร

หลวงปู่ยังคงนั่งภาวนาอยู่ในที่เดิม ไม่นานก็ปรากฏเป็นเทวดา ๒ องค์ ใส่มงกุฎสวยงามเข้ามาหาท่าน เทวดาองค์หนึ่งพูดว่า “ ท่านอาจารย์ ห่างจากนี้ไม่ไกลนัก มีพระพุทธรูปทองคำ ๑๐ องค์ พระพุทธรูปเงิน ๑๕ องค์ฝังอยู่ ขอให้ท่านอาจารย์ไปเอาขึ้นมา เพื่อให้คนทั้งหลายได้กราบไหว้ สักการบูชา เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่เฝ้ารักษาแล้ว ” พูดบอกเท่านั้น แล้วเทวดาทั้งสองก็หายไป แต่หลวงปู่ไม่ได้ออกค้นหาพระพุทธรูปตามที่เทวดาบอก เพราะท่านไม่มีความประสงค์ที่จะค้นหาทรัพย์สมบัติแต่มุ่งค้นหาสัจจะธรรม ตามคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ภาวนาบนเส้นทางช้างศึก

แถวใกล้นครเวียงจันทร์ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ได้ไปปักกลดภาวนาบนเส้นทางช้างศึกของเจ้าอนุวงษ์ กษัตริย์ในประวัติศาสตร์ของลาว

หลวงปู่เล่าให้สานุศิษย์ฟังว่า มีคืนหนึ่งท่านได้นิมิตว่ามีวิญญาณหลงทางมาหาท่านมากมาย ส่วนใหญ่เป็นทหารหนุ่มๆทั้งนั้น เดินผ่านมาทางที่ท่านพักปักกลดอยู่ หลวงปู่ได้แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลไปให้ ปรากฏว่าไม่ได้ทำให้พวกเขาสามารถระลึกและคลายมานะทิฐิได้เลย วิญญาณเหล่านั้นได้แต่มาปรากฏให้เห็นเท่านั้น ไม่ได้แสดงกิริยาอะไรกับท่านเลย คล้ายกับเป็นวิญญาณที่มืดบอดจากคุณธรรมความดี ยังไม่สามารถชี้แนะในทางดีได้ ท่านก็ปล่อยให้วิญญาณเหล่านั้นผ่านไป

พบหลวงปู่แหวน สุจิณโณ

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม กับ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เป็นสหธรรมิกที่รักใคร่ชอบพอกัน ท่านทั้งสองเคยร่วมธุดงค์ไปยังสถานที่ต่างๆหลายต่อหลายแห่งในสมัยที่ท่านทั้งสองยังเป็นพระหนุ่มอยู่

หลวงปู่ทั้งสองได้พบกันครั้งแรกที่ป่าภูพาน ขณะนั้นหลวงปู่ตื้อจาริกธุดงค์มาจากพระบาทบัวบก จ.อุดรธานี ท่านทั้งสองได้สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กัน เป็นที่ชอบอัธยาศัยถูกใจกันยิ่งนัก แม้หลวงปู่ทั้งสององค์จะมีอุปนิสัยภายนอกที่แตกต่างกัน แต่ท่านก็ร่วมเดินทางและเกื้อกูลกันเป็นอย่างดี จัดเป็นสหธรรมิกที่มีความใกล้ชิดกันที่สุด แม้ภายหลังเมื่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เดินทางกลับสู่ภาคอีสานแล้ว หลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แหวนก็ยังคงพำนักอยู่ที่ภาคเหนือต่อไปจนเข้าสู่วัยชรา สถานที่ที่ท่านทั้งสองอยู่ก็ไม่ห่างไกลกันนัก พอไปมาหาสู่และถามไถ่กันได้ตลอด

หาเรือข้ามแม่น้ำโขง

ตอนที่หลวงปู่ตื้อ และ หลวงปู่แหวน พบกัน และเริ่มออกธุดงค์ด้วยกันใหม่ๆ ทั้งสององค์ได้มุ่งหน้าข้ามแม่น้ำโขงไปทางแขวงสุวรรณเขตในประเทศลาว ตอนจะข้ามแม่น้ำโขงท่านทั้งสองหาเรือข้ามฟากไม่ได้ แม่น้ำโขงก็ไหลเชี่ยวจัด หมู่บ้านใกล้สุดก็อยู่ห่างออกไปไม่น้อยกว่าหนึ่งกิโลเมตร มองไม่เห็นเรือนแพอยู่แถวนั้นเลย

หลวงปูตื้อบอกว่า “ ท่านแหวน ไม่ต้องวิตก เดี๋ยวก็มีเรือมารับเราข้ามฟากไปแล้ว ” แล้วท่านก็ยืนนิ่งหลับตา เพียงอึดใจใหญ่ๆก็ลืมตาขึ้น พูดยิ้มๆว่า “ เดี๋ยวเรือจะมารับ ”

อีกสักพักก็มีเรือหาปลาพายผ่านมา พอเห็นพระหนุ่มทั้งสองรูปยืนอยู่ที่ท่าน้ำ ก็พายเรือเข้ามารับพาข้ามฟาก ชายคนนั้นบอกว่า ขณะที่เขาหาปลาอยู่กลางแม่น้ำรู้สึกสังหรณ์ใจว่ามีพระกำลังรอเรือข้ามฟาก จึงได้พายเรือมาดู ก็พบพระคุณเจ้าทั้งสองจริง นับว่าน่าอัศจรรย์มาก

ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น

ในขณะนั้นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระบุพพาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ได้มาสอนกรรมฐานอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อหลวงปู่ตื้อได้ทราบข่าวก็ได้เดินธุดงค์จาก จ.เลย ขึ้นสู่ จ.เชียงใหม่ ไปทาง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ หลายคืนจึงถึง จ.เชียงใหม่

เมื่อถึง จ.เชียงใหม่แล้ว ได้เข้าไปกราบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และได้พักอยู่กับท่านที่วัดเจดีย์หลวง อยู่ไม่นานเท่าไรก็ได้ญัตติเป็นฝ่ายธรรมยุติ

หลวงปู่ตื้อได้ออกธุดงค์ติดตามหลวงปู่มั่นไปตามถ้ำต่างๆหลายแห่ง ในเขต จ.เชียงใหม่ ท่านเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดและเป็นผู้ที่พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ไว้ใจในการออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมกรรมฐานมาก

วิญญาณทำฤทธิ์กับหลวงปู่ตื้อ
ในช่วงที่หลวงปู่ตื้อไปพำนักปักกลดที่ถ้ำผาบ่อง ได้มีวิญญาณมาลองดี ขณะที่ท่านกำลังนั่งสมาธิภาวนาอยู่ภายในกลด ได้เกิดมีแสงเป็นสายรุ้งสีต่างๆสว่างจ้ามาครอบมุ้งกลดของท่าน ทำให้หายใจไม่ออก ร่างกายธาตุขันธ์อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จิตของท่านแนบแน่นอยู่กับการภาวนาอย่างไม่ลดละ ไม่นานแสงประกายสายรุ้งก็คลายความสว่างจ้าลงแล้วก็หายไป

สักครู่ต่อมาก็ปรากฏเป็นนิ้วมือใหญ่มาก ขนาดเท่าลำตาลเห็นจะได้ มาครอบลงบนกลดอีก เกิดอาการกลัวขึ้นมาบ้าง เกือบจะหยุดทำความเพียรอยู่เหมือนกัน แต่ท่านก็ตั้งมั่นทำความเพียรต่อไป ขอยอมตายอยู่กับคำบริกรรม พุทโธ ๆ แล้วใจค่อยสบายขึ้น หายใจได้คล่อง นิ้วมือยักษ์นั้นก็หายไป

อีกสักครู่ก็ปรากฏร่างเป็นคนตัวดำๆสูงใหญ่ราว ๑๐ ศอก แต่งตัวเหมือนพระราชา เดินเข้ามาใกล้กลดแล้วหยุดนิ่งอยู่ หลวงปู่จึงถามว่า “ ใครอยู่ที่นั่น ” แต่ร่างนั้นไม่ตอบกลับมา สักครู่ก็หายไป สักพักก็กลับมาอีก แต่คราวนี้เปลี่ยนเป็นชีปะขาวอายุราว ๒๗ – ๒๘ ปี ท่าทางยังหนุ่มอยู่มาก

คราวนี้เขามาในอาการสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เมื่อมาใกล้ก็คุกเข่าลง กราบหลวงปู่ด้วยความเคารพ หลวงปู่ถามว่า “ ท่านเป็นใคร มาจากไหน ” ชีปะขาวหนุ่มตอบว่า “ มาหาท่านอาจารย์ ” หลวงปู่ถามต่อไปว่า “ ใครเป็นผู้ทำสายรุ้งครอบมุ้งกลด ? ใครเป็นผู้ทำนิ้วมือใหญ่ครอบมุ้งกลดของเรา ? และใครแสดงตนเป็นพระราชา ? ” เขายอมรับว่าทั้งหมดนั้นเขาเป็นผู้ทำ ที่ทำไปก็เพื่อทดสอบจิตใจของท่าน หลวงปู่จึงได้เทศน์สั่งสอนเขา จนในที่สุดดวงวิญญาณนั้นก็กราบขอขมาท่าน ขอรับศีลรับพรจากท่านด้วยอาการเคารพนอบน้อม

ทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า

วันหนึ่งพระเณรเข้ากุฏิกันเกือบหมดแล้ว หลวงปู่ตื้อได้สั่งให้เณรไปต้มน้ำกาใหญ่ เณรย้อนถามท่านด้วยความสงสัยว่า “ ไม่มีใครอยู่ฉันน้ำแล้ว หลวงปู่จะให้ต้มน้ำกาใหญ่ไปทำไม ” หลวงปู่พูดด้วยน้ำเสียงดุว่า “ บอกให้ต้มก็ต้มเถอะ ต้มน้ำชงชา ” แล้วสั่งให้เณรเอาถ้วยชามาเตรียมไว้ ๕๐ ถ้วย

หลวงปู่พูดขึ้นว่า “ เดี๋ยวจะมีโยมมาจากกรุงเทพฯ ” สักครู่ใหญ่ๆก็มีรถบัสเข้ามาจอดในบริเวณวัด หลวงปู่ให้นำน้ำชาร้อนๆมาเลี้ยงญาติโยม ปรากฏว่าถ้วยชาที่เตรียมไว้ ๕๐ ถ้วยครบจำนวนคนพอดี

อีกคราวหนึ่ง ขณะที่พระอาจารย์ประยุทธ ธัมมยุตโต นั่งอยู่กับหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ก็สั่งให้พระอาจารย์ประยุทธรีบไปสรงน้ำ สร้างความงุนงงให้แก่พระเณรที่อยู่ ณ ที่นั้น เพราะแต่ไหนแต่ไรมาหลวงปู่ท่านไม่เคยยุ่งกับการสรงน้ำของใครเลย

พระอาจารย์ประยุทธได้เรียนถามท่านว่า “ หลวงปู่ให้กระผมไปสรงน้ำทำไม ” หลวงปู่ตอบว่า “ วันนี้ ๖ โมงเย็น จะมีโยมผู้ชายมานิมนต์ ไปปัดรังควานให้ลูกเขาที่ตกต้นลำไย แต่เด็กมันต้องตายแน่ๆ ไม่รอดหรอก จะให้ท่านไปแทน ”

พอพระอาจารย์ประยุทธสรงน้ำเสร็จยังไม่ทันที่จะครองผ้า โยมที่ว่าก็ขับรถกระบะเข้ามาจอดในวัดรีบเข้ามากราบหลวงปู่ตื้อ ขอนิมนต์ไปปัดรังควานให้ลูกชายตามที่หลวงปู่บอกไว้ไม่มีผิด

หลวงปู่แกล้งพญานาค

หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า เคยพบพญานาค หลวงปู่ตื้อคิดค้านขึ้นมาในใจว่าไม่เชื่อ ใครๆก็พูดถึงพญานาคได้โดยไม่เคยเห็นตัวตน

หลวงปู่มั่น ท่านทราบวาระจิต จึงสั่งให้หลวงปู่บุญ พาหลวงปู่ตื้อไปกรรมฐานบนเขา โดยให้อยู่เขาคนละลูก

เมื่อถึงเขาที่จะนั่งกรรมฐานลูกแรก หลวงปู่ตื้อท่านก็พบรูดินใหญ่เข้ารูหนึ่ง ท่านคิดในใจว่าถ้าพญานาคมีจริงก็จะลองดู ท่านจึงแอบเอาก้อนหินใหญ่มาวางไว้ปากรู แล้วไปกับหลวงปู่บุญเพื่อไปดูที่ปักกลดยังเขาอีกลูกหนึ่ง

เมื่อส่งหลวงปู่บุญแล้วหลวงปู่ตื้อก็กลับมายังที่เดิม ผลักก้อนหินให้กลิ้งลงไปในรู แล้วพูดว่า “ ถ้าพญานาคมีจริง หินตกถูกก็ขอโทษด้วย ”

แล้วท่านก็เอาผ้ารองนั่งปิดรู กางกลดลง ณ ที่ตรงนั้น ปรากฏว่าคืนนั้น ขณะที่หลวงปู่ตื้อนั่งทำสมาธิภาวนาภายในกลด ก็ได้ยินเสียงขู่ฟู่ๆอย่างขัดเคือง เสียงนั้นดังมาจากงูใหญ่จำนวนมาก มาแผ่พังพานอยู่รอบๆกลดของท่าน

หลวงปู่จึงหยิบก้อนหินมาปลุกเสก แล้วโยนออกไปนอกกลด ได้ยินเสียงงูเลื้อยหนีกันเกรียวกราว กระจัดกระจายกันออกไป

พอรุ่งเช้าหลวงปู่บุญท่านมาบ่นให้ฟังว่า “ เมื่อคืนท่านไปเล่นอะไรกับพวกงู พวกเขาจึงไปขู่ฟู่ๆอยู่กับผม จนไม่ต้องหลับนอนกันละ ” ครั้นถอนกลดกลับไปหาหลวงปู่มั่น ขณะก้มกราบก็ถูกหลวงปู่มั่นชี้หน้าบอกว่า “ ท่านไปเล่นกับงูมาละซิ ”

หลวงพ่อเปลี่ยนคิดอยากได้วิชาจากหลวงปู่ตื้อ

หลวงพ่อเปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญวิเวก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เป็นศิษย์สำคัญองค์หนึ่งของหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม หลวงพ่อเปลี่ยนได้เล่าเกี่ยวกับปฏิปทาของหลวงปู่ตื้อ ไว้ว่า

อาตมาเคยสังเกตความอัศจรรย์ทางจิตของหลวงปู่ตื้อ คราวหนึ่งหลังจากฉันเสร็จ วันนั้นไม่มีญาติโยมคนใดนั่งอยู่เลย อาตมาเห็นว่าควรนิมนต์ท่านกลับขึ้นกุฏิไปพักผ่อน พอออกปากนิมนต์หลวงปู่ก็พูดออกมาว่า “ เราเห็นญาติโยมกำลังมาหา ขณะนี้กำลังออกเดินทางจากเชียงใหม่ ”

เมื่อท่านว่าอย่างนั้น อาตมาก็กลับขึ้นกุฏิ มองเห็นท่านยังนั่งเฉยอยู่ สังเกตดูอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก็เห็นมีผู้คนเดินทางมายังที่ท่านนั่งอยู่ หลวงปู่รออยู่แล้วจึงเชิญนั่ง ต้อนรับอยู่ตรงนั้นจนบรรดาญาติโยมกลับกันไปหมด

อาตมาคิดอยากได้วิชาอย่างนี้บ้าง หลวงปู่ท่านรู้ใจอาตมาจึงได้อบรมบ่มนิสัย เกี่ยวกับการจะหยั่งรู้วาระจิตต่างๆด้วยจิต

แรกๆความอยากรู้อยากได้ของอาตมามีมากจึงทำให้เกิดล่าช้า แต่เมื่อหลวงปู่สอนไปเรื่อยๆจิตใจก็สงบเย็นมากขึ้น และรู้ว่าบริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ

ขลังกระทั่งเยี่ยว

กล่าวกันว่าอำนาจพลังจิตของหลวงปู่ตื้อนั้นยอดเยี่ยมมาก อย่าว่าแต่สิ่งของที่ท่านอธิษฐานจิตให้เลย แม้แต่ที่ที่ท่านปัสสาวะรดใส่ยังยิงไม่ออกเลย เคยมีคนเคยเอาปืนไปลองยิงมาแล้ว ปืนยิงไม่ออกกระสุนไม่ลั่น ลูกศิษย์ผู้ที่เอาปืนไปยิงถึงกับตกใจ รีบวิ่งไปกราบเรียนถามหลวงปู่ แทบฟังไม่เป็นศัพท์เป็นภาษา

มีครั้งหนึ่ง พวกทหารอากาศไปนมัสการท่าน แต่ในใจอาจจะนึกประมาทท่านอยู่ หลวงปู่ตื้อท่านผลุนผลันลุกขึ้นเดินไปปัสสาวะใส่ตอไม้ แล้วกล่าวกับทหารอากาศกลุ่มนั้นว่า “ คนเราถ้ามันจะขลัง ต้องขลังกระทั่งเยี่ยว เอ้า...ยิงเลย ” ทหารกลุ่มนั้นระดมยิงใส่ตอไม้ กระสุนไม่ลั่นแม้แต่นัดเดียว

หลวงปู่ตื้อดังระเบิด

พวกรถโดยสารสาย แม่แตง – เชียงใหม่ จะชินตากับ หลวงตาพระป่าแก่ๆ กับศิษย์ชาวเขาผู้เฒ่าที่โกนหัว นุ่งขาวห่มขาว สะพายย่ามเดินตามหลัง พวกรถโดยสารคงรำคาญและหมั่นไส้พระป่ารูปนั้นเอาการอยู่ เพราะพอขึ้นไปนั่งบนรถ พระรูปนั้นก็เอาเท้าขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเบาะทันที โดยไม่สนใจใคร

เด็กหนุ่มกระเป๋ารถจึงพูดจากึ่งขอร้องกึ่งไม่พอใจว่า “ ป้อหลวง ตุ๊เจ้า ตื่น ตื่นเอาตีนลงจากเบาะเน่อ ” หลวงปู่ตอบทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ว่า “ ลงบ่ได้ ” เด็กกระเป๋ารถกล่าวเสียงดังว่า “ มันเป็นอะหยังหือ จึงเอาตีนลงบ่ได้ ” พร้อมกับเอามือกระชากขาหลวงปู่ลงจากเบาะ ทันใดเครื่องยนต์รถโดยสารคันนั้นก็ดับสนิท ผู้โดยสารทั้งคันหัวคะมำไปตามๆกัน

หลวงปู่พูดขึ้นว่า “ หลวงตาบอกแล้ว ลงบ่ได้ ลงบ่ได้ ”

คนขับพยายามติดเครื่องอยู่หลายครั้ง แต่เครื่องก็ไม่ติดสักที หลวงปู่จึงพูดขึ้นว่า “ ผู้ใด๋เอาตีนกูลง มาเอาขึ้นคืนเน่อ ” กระเป๋ารถจำเป็นต้องทำด้วยความจำยอม จากนั้นเครื่องยนต์ก็ติด รถโดยสารวิ่งสะดวกจนถึงตัวเมืองเชียงใหม่ เหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าผู้โดยสารหลายคน นับจากนั้นมา หลวงตาพระป่าแก่ๆใน อ.แม่แตง ก็ดังระเบิด รถโดยสารทุกคันไม่เก็บเงินหลวงปู่ และต่างก็อยากให้หลวงปู่นั่งรถของตน แม้ท่านจะนั่งคนเดียวทั้งคันก็ยินดี

กลับนครพนม

หลังจากออกพรรษาปี พ.ศ.๒๕๑๔ คณะศรัทธาชาว จ.นครพนม พร้อมใจกันไปนิมนต์ท่านหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ให้กลับไปจำพรรษาที่ จ.นครพนม และได้นิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นั่นตลอดไป

หลวงปู่จึงรับนิมนต์ และไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ตั้งแต่ออกพรรษาปี พ.ศ.๒๕๑๔ ติดต่อกันไปตราบจนท่านละขันธ์ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ คืออยู่ที่ จ.นครพนมได้เพียง ๔ ปี เท่านั้นเอง

ตลอดทั้งปีมีผู้มาฟังธรรมะ และเข้ารับการอบรมกรรมฐานกับหลวงปู่จำนวนมาก หลวงปู่ต้องเทศน์ต้องแสดงธรรมโปรดญาติโยมแทบไม่ว่างเว้นในแต่ละวัน แม้หลวงปู่จะอยู่ในวัยชราภาพ อายุ ๘๕ ปี แล้วก็ตาม ท่านไม่เคยว่างเว้นจากการปฏิบัติกิจของสงฆ์เลย

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ถูกอัธยาศัยกับหลวงปู่ตื้อ

หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี เป็นศิษย์อาวุโสอีกองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นผู้มีอุปนิสัยโผงผาง ยอมหักไม่ยอมงอ พูดจาตรงไปตรงมา ชนิดขวานผ่าซาก ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๑๗ หลวงปู่เจี๊ยะได้จัดทำบุญฉลองพระอุโบสถ ได้นิมนต์หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม มาเป็นประธาน และมีพระกรรมฐานมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก

เมื่อหลวงปู่ตื้อมาพักที่วัดเขาแก้ว ท่านจะสนทนาธรรมกับหลวงปู่เจี๊ยะเป็นเวลานานๆ หลวงปู่เจี๊ยะจะแสดงกิริยานอบน้อมต่อท่านยิ่งนัก เวลาพูดกับท่านก็พนมมือโดยตลอด หลวงปู่เจี๊ยะท่านมีความเคารพในองค์หลวงปู่ตื้อมาก และท่านทั้งสองก็มีอุปนิสัยคล้ายกัน จึงถูกอัธยาศัยกันเป็นอย่างดี

เสือขับไล่เจ้าคณะอำเภอ

ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ได้เล่าเรื่องของหลวงปู่ตื้อกับเสือว่า

หลวงปู่ตื้อท่านเที่ยวธุดงค์ผ่านไปตั้ง ๕ อำเภอแล้ว เสือยังเดินติดตามไปอารักษ์ขาท่านอีก ตอนกลางคืนสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า มีแต่ตะเกียงเจ้าพายุ เจ้าคณะอำเภอเห็นหลวงปู่ตื้อไปอยู่ในป่า ก็จะมาขับไล่ท่าน จุดตะเกียงเจ้าพายุหิ้วมาตอนกลางคืนพร้อมกับญาติโยม พอมาถึงที่ที่หลวงปู่ตื้ออยู่ เสือตัวนั้นออกมาคำรามใหญ่เลย ทั้งเจ้าคณะอำเภอทั้งญาติโยมที่จะมาขับไล่ท่าน แตกกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง หลวงปู่ตื้อท่านเลี้ยงเสือไว้เฝ้าท่าน ท่านว่าคาถาครอบมันไว้ มันกลัวท่าน เชื่อฟังท่าน มันไม่ถือว่าท่านเป็นข้าศึกแต่ถือท่านเป็นเจ้าของ

หลวงปู่มรณภาพ

วันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ หลวงปู่แว่น ธนปาโล วัดถ้ำพระสบาย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ได้นำคณะสงฆ์จากวัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เข้ากราบขอโอวาท และมาทำวัตรหลวงปู่ตื้อ ตามประเพณีปฏิบัติ หลวงปู่ได้แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ เมื่อแสดงพระธรรมเทศนาจบสังเกตเห็นว่าหลวงปู่มีอาการเหนื่อยมาก

วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ พระอาจารย์อุ่น อุตโม วัดอุดมรัตนาราม อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร เข้ากราบขอโอวาท และมาทำวัตรหลวงปู่ หลวงปู่ได้แสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ เย็นวันนั้นสังเกตเห็นหลวงปู่ท่านเหนื่อย พูดเบา บางครั้งก็พักหายใจยาวๆ แล้วจึงพูดสอนลูกศิษย์ต่อ
วันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ พอฉันภัตตาหารเช้าเสร็จท่านเข้าไปพักผ่อนเล็กน้อย แล้วแสดงธรรมโปรดศิษย์และญาติโยมตลอด

หลวงปู่พูดธรรมะสอนลูกศิษย์ไปเรื่อยๆ จนประโยคสุดท้ายท่านได้พูดว่า “ ธาตุลมในหลวงตาวิปริตแล้ว ”

จากนั้นท่านไม่พูดอะไรอีก สังเกตดูอาการเคลื่อนไหวทุกอย่างหยุดสนิท ทุกคนจึงแน่ใจว่า หลวงปู่ได้ละวางขันธ์แล้ว เมื่อเวลา ๑๙.๐๕ น.

แทบไม่ต้องนัดแนะกัน ศิษย์ทุกคน ณ ที่นั้นก้มลงกราบท่านพร้อมกัน ด้วยความรัก ความศรัทธา และความเคารพ ในองค์ท่านอย่างสุดจิตสุดใจ

สิริรวมอายุของท่านได้ ๘๖ ปี ๕ เดือน ๑๖ วัน อายุพรรษาเฉพาะธรรมยุติกนิกาย ๔๖ พรรษา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น