...ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมเวปด้วยความยินดียิ่งครับผม ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด จงอย่าช้ารีบเร่งทำความดี...

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

หลวงปู่สาม อกิญฺจโน


เฟสบุ๊คเพื่อสนทนาปัญหาธรรมะและเผยแผ่ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
และโอวาทธรรม คำสอน พ่อแม่ครูอาจารย์พระอรหันต์ครับ
ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด จงอย่าช้ารีบเร่งทำความดี

www.facebook.com/groups/226951157350091

“พระอาจารย์สาม อกิญฺจโน” มีนามเดิมว่า สาม นามสกุล เกษแก้วสี เกิดที่บ้านนาสาม ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ บิดาชื่อ นายปวม มารดาชื่อ นางกึง เมื่อวันอาทิตย์ เดือนสิบ ปีชวด ตรงกับเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๔๓ มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน ๑๑ คน

ท่านเล่าว่า เมื่ออยู่ในวัยเด็กนั้น ได้รับความทุกข์ยากลำบากมาก เนื่องจากในบ้านไม่มีผู้หญิง มีแต่ผู้ชาย และท่านเป็นลูกชายคนโต ดังนั้น นองจากท่านจะต้องทำงานนอกบ้าน เช่นเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย และทำไร่ไถนาแล้ว ยังต้องทำงานในบ้านอีกด้วย เช่น ตำข้าว หุงต้มอาหาร และเลี้ยงดูน้องๆ อีกหลายคน คือทำงานเหมือนผู้หญิงทุกอย่าง จนอายุย่างเข้าสู่วัยหนุ่มแล้ว ก็อยากที่จะมีโอกาสได้เที่ยวเตร่เหมือนผู้อื่นเขา ประกอบกับท่านมีอัธยาศัยชอบสงบตั้งแต่เด็ก ไม่เคยเกะกะระรานหาเรื่องกับใครเลย รู้จักการทำบุญ บริจาคทาน ฟังเทศน์ฟังธรรมตั้งแต่อายุได้ ๑๔ ปี จึงเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของบิดามารดา และผู้แก่ผู้เฒ่าเป็นอย่างยิ่ง

ครั้นอายุได้ ๑๙ ปี ก็คิดอยากบวช จึงขออนุญาตบิดามารดา ท่านก็อนุญาต ได้บวชเป็นสามเณรที่วัดนาสาม อันเป็นวัดใกล้บ้านเกิดของท่าน บวชเณรได้ ๒ พรรษา ก็บวชพระต่อเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ โดยมีพระครูวิมลศีลพรต เป็นอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเอี่ยม และพระอาจารย์สาม เป็นพระคู่สวด

ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดนาสามได้ ๓ พรรษา ก็คิดอยากจะไปเรียนปริยัติธรรมที่กรุงเทพฯ กับเขาบ้าง จึงได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ และขอพำนักอยู่ที่วัดสัมพันธวงศ์ แต่ก็มีอุปสรรคอย่างยิ่ง คือทางวัดบอกขัดข้องว่า ไม่มีกุฏิอยู่ให้จำพรรษา ครั้นจะกลับมาวัดเดิมก็นึกอายเขา จึงหาวัดจำพรรษาที่จังหวัดอยุธยา ๑ พรรษา โดยไม่มีการเรียนปริยัติธรรมแต่ประการใด เมื่อออกพรรษาแล้ว จึงมาอยู่ที่วัดนาสามตามเดิม

คงจะเป็นด้วยบุญบันดาลให้หันวิถีชีวิตแห่งบรรพชิตเพศของท่านให้มาทางวิปัสนากรรมฐานนั้นเอง เมื่อกลับมาอยู่วัดนาสามตามเดิมได้เพียง ๓ เดือนเท่านั้น ก็ได้รับทราบกิติศัพท์ข่าวดีว่า ท่านอาจารย์ดูลย์ (หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม ปัจจุบัน) ได้กลับมาจากธุดงค์และสำนักอยู่ที่ ป่าหนองเสม็ด ตำบลเฉลียง อำเภอเมืองสุรินทร์ ท่านจึงไปพบท่านอาจารย์ดูลย์ ณ ที่นั้น ถวายตนเป็นลูกศิษย์เพื่อจะอบรมทางกัมมัฏฐาน ท่านอาจารย์ดูลย์ก็มีความยินดี และแนะนำสั่งสอนเรื่องการนั่งสมาธิภาวนา เมื่อตั้งใจปฏิบัติก็เกิดนิมิตต่างๆ แล้วก็ยิ่งเกิดความเชื่อ ความศรัทธาเลื่อมใสอย่างแท้จริง จึงอยู่จำพรรษา ณ ที่นั้น ๑ พรรษา ส่วนท่านอาจารย์ดูลย์ มาจำพรรษาที่วัดนาสาม

เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ได้เริ่มออกเที่ยวธุดงค์ในบริเวณใกล้ๆ ในจังหวัดสุรินทร์ โดยไปทางเขาสวาย พำนักอยู่ที่นั่นเป็นเวลานามพอสมควร มีญาติโยมเลื่อมใสศรัทธามานั่งสมาธิภาวนา บางคนก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก ท่านออกจากที่นั่นแล้ว ก็ไปตั้งสำนักปฏิบัติอยู่ใกล้บ้านถนน ตำบลเฉลียง ยู่ประมาณ ๒ เดือน ท่านอาจารย์ดูลย์ได้ทราบว่า อาจารย์สาม พร้อมกับพรรคพวกมีศรัทธาอย่างแรงกล้าที่จะปฏิบัติธุดงค์กรรมฐานอย่างจริงจัง จึงแนะนำให้ท่านไปหาท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ซึ่งขณะนั้นท่านอาจารย์มั่นกำลังพักอยู่ที่วัดป่าสัมพงศ์ ทางจังหวัดสกลนคร อาจารย์สามก็ได้ชักชวนหมู่พวกเดินทางไปพบพระอาจารย์มั่น

ในการเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์ครั้งแรกนี้ มีท่านสกุยเป็นเพื่อนไปด้วย รวม ๒ องค์ เดินทางครั้งนี้ใช้เวลาถึง ๑๕ วัน จึงถึงจังหวัดนครพนม และพักอยู่ที่นั่น ๓ เดือน แล้วเดินทางต่อไปอีก ๕ วัน ก็ถึงวัดป่าสัมพงศ์ ที่ท่านพระอาจารย์มั่นพักอยู่ นมัสการให้ท่านทราบว่า มาจากจังหวัดสุรินทร์ เพื่อปฏิบัติกัมมัฏฐาน แล้วพักอยู่ ๓ เดือน เพื่อรับการอบรมและฟังเทศน์จากท่านอาจารย์มั่น

ท่านอาจารย์มั่นทราบว่า ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม เป็นผู้คุ้นเคย ต้อนรับพระมาจากจังหวัดสุรินทร์ เพราะท่านอาจารย์ดูลย์ก็เป็นผู้คุ้นเคยกันกับท่านอาจารย์สิงห์ จึงแนะนำท่านอาจารย์สามให้ไปหาท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ท่านอาจารย์สามจึงต้องเดินทางไปพบท่านอาจารย์สิงห์ เดินทาง ๑ วัน ๑ คืน จึงไปถึงอำเภออากาศอำนวย ท่านอาจารย์ทราบว่ามาจากสำนักอาจารย์ดูลย์ จังหวัดสุรินทร์ก็แสดงความยินดี จึงต้นรับและจัดให้พักอยู่ในที่นั้น

ครั้นพอจวนจะเข้าพรรษา ก็จัดให้ไปอยู่แห่งหนึ่งต่างหาก ไม่ห่างจากกันเท่าไรนัก ท่านอาจารย์สามเล่าว่า ในปีนั้นท่านป่วยเป็นไข้ป่าหนัก จวนเจียนจะถึงตาย ร่างกายผอมเหลือหนังกับกระดูก ขณะนั้นในหมู่บ้านมีโรคอหิวาต์ระบาดด้วย เมื่อค่อยหายจากป่วยแล้วก็ต้องหัดเดิ่นเป็นเดือนจึงเดินได้บ้าง และต้องใช้ไม้เท้าช่วยจึงพอเดินไปมาได้บ้าง

เมื่อออกพรรษาแล้วก็ออกจากกิ่งอำเภออากาศอำนวย เที่ยวธุดงค์ไปทางจังหวัดอุบลฯ พร้อมกับท่านอาจารย์สิงห์ ครั้งนี้ไปกันเป็นหมู่มากประมาณ ๑๐๐ กว่าองค์ เมื่อถึงอุบลฯ หาสำนักพักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็แนะนำสั่งสอนญาติโยมให้ได้รับความรู้และความเข้าใจในการปฏิบัติภาวนา มีประชาชนเข้ามาฟังเทศน์ฟังธรรมและนั่งภาวนาเป็นจำนวนมาก

เมื่อจวนจะเข้าพรรษาปีนั้น ก็ตั้งใจจะจำพรรษาอยู่ที่อุบลฯ แค่ท่านเจ้าคุณมณี เจ้ากรมมณฑลอีสานในสมัยนั้น ไม่ให้อยู่วัดป่า ให้ไปอยู่ที่วัดสุทัศน์ในเมืองอุบลฯ ท่านอาจารย์สิงห์และมหาปิ่นจึงแนะนำให้ท่านอาจารย์สามกลับสำนักเดิมที่สุรินทร์เสียก่อน ท่านจึงต้องกลับมาเข้าพรรษาหลังเดือน ๙ ที่บ้านถนน ตำบลเฉลียง จังหวัดสุรินทร์

เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ไปหาท่านอาจารย์สิงห์ที่จังหวัดอุบลฯ อีก ท่านอาจารย์สิงห์ก็พาธุดงค์ไปที่อำเภอยโสธร พร้อมทั้งให้ท่านอาจารย์สามและท่านสกุย ญัตติเป็นธรรมยุติที่อำเภอยโสธร มีพระครูจิตวิโส เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านอาจารย์สิงห์และท่านมหาปิ่นเป็นพระคู่สวด

เที่ยวธุดงค์แวะวนอยู่แถวนั้นเป็นเวลานาน จนจวนจะเข้าพรรษา ก็กลับไปจำพรรษาที่อุบลฯ ณ สำนักสงฆ์ท่าวงหัน เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านอาจารย์สิงห์พาเดินธุดงค์ต่อ พร้อมกับแนะนำธรรมสั่งสอนญาติโยมแถวอำเภออำนาจเจริญ อำเภอม่วงสามสิบ เป็นต้น พอจวนจะเข้าพรรษา ท่านพระครูพิศาลอรัญเขต มานิมนต์ให้คณะของท่านไปจำพรรษาที่ขอนแก่นและได้ตั้งสำนักอยู่ที่เลางา ส่วนท่านอาจารย์สามไปอยู่สำนักบ้านโนนวัง พอออกพรรษาแล้วก็ออกมาพบกันอีกได้เพียง ๕ - ๖ วัน ก็ลาไปหาที่วิเวกตามถ้ำตามป่า สถานที่สงัด เพื่อบำเพ็ญธรรม ประกอบความเพียรโดยไม่เลือกกาลเวลา เว้นไว้แต่พักผ่อนหรือมีคนมาถามธรรมปฏิบัติ ท่านก็แนะนำสั่งสอนเขาเหล่านั้นตามสติปัญญา นอกจากนั้นก็เร่งทำความเพียรพยายามด้วยตนของตนเองอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้เสียประโยชน์ตน

เมื่ออกพรรษาแล้วก็มาพบท่านอาจารย์สิงห์ ออกจากโนนรังก็ไปจำพรรษาที่ป่าหนองบัวพรรษาหนึ่ง ออกจากหนองบัวไปจำพรรษาที่อำเภอพลพรรษาหนึ่ง แล้วก็ย้อนมาจำพรรษาที่หนองบัวอีก ถึง ๒ พรรษา ตอนนี้จึงลาท่านอาจารย์สิงห์ไปเที่ยวธุดงค์ที่จังหวัดชัยภูมิพร้อมกับพระบุญธรรม เมื่อไปถึงชัยภูมิ พักอยู่ที่นั่น ๓ คืน ก็ไปเที่ยวสระหงษ์แล้วพักที่นั่นประมาณครึ่งเดือน ก็ชักชวนโยมชาวบ้านแถวนั้นขอร้องให้พาไปถ้ำวัวแดง โยมก็ส่งไป เพราะโยมเหล่านั้นก็มานั่งสมาธิภาวนาด้วยทุกวัน มีสามเณรองค์หนึ่งกับพระอีกสององค์ รวมกับท่านเลยไปถึงบ้านเข พักอยู่ที่นั่นคืนหนึ่ง มีโยมชาวบ้านแถวนั้นสองคนไปด้วย

หลังจากที่ฉันเสร็จแล้ว ก็เดินไปจนถึงถ้ำพระ พักนอนที่นั่นคืนหนึ่งก็ยังไม่พบถ้ำวัวแดง สำหรับในถ้ำนั้น ดูข้างในนั้นไม่มีที่สิ้นสุดเลย จะออกมาหาน้ำดื่มก็ไม่มี พยายามขึ้นไปหา ข้างบนนั้นสูงมาก ต้องขึ้นไปด้วยความยากลำบาก จึงได้ดื่มน้ำ แล้วก็พักนอนที่นั่นคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็เที่ยวไปหาถ้ำวัวแดง เดินเที่ยวหาตั้งแต่เช้าจนเย็น ได้ความลำบากมาก จึงได้นอนพักค้างคืนหนึ่ง นอนห่างๆ กัน

กล่าวว่าที่ตรงนั้นเป็นที่ลาดชัน เช้าขึ้นมา ปรากฏว่าท่านเมียนที่ไปด้วยนอนหลับ กลิ้งตกไปติดกับต้นไม้ จึงลงไปดู เห็นท่านเมียน ทั้งที่ตกไปติดกับต้นไม้แล้ว ยังนอนหลับอยู่โดยไม่รู้ตัว คงได้รับความเหน็ดเหนื่อยมากกระมัง ก็เลยปลุกให้ตื่น พากันออกจากถ้ำนั้น ก็ไปถึงถ้ำประทุนแล้วพากันพักนอนอยู่คืนหนึ่ง เพราะค่ำมากแล้ว

เมื่อตกดึกเงียบสงัดวังเวงยิ่งนัก ได้ยินเสียงสัตว์อะไรก็ไม่รู้ ร้องดังลงมาหา ตรงที่นอนนั้นเอง ท่านเมียนก็นอนไม่หลับ สำหรับท่านนั้น ตั้งสติแน่วแน่ นั่งสมาธิอยู่ ไม่รู้สึกกลัว นั่งอยู่ด้วยความสงบ พอออกจากตรงนั้นไปแล้ว ปรากฏว่าหลงทาง เดินวกเวียนวนไปจนอยู่อยู่ในภูเขานั้น จนอดข้าว คิดว่าคงไม่รอด ไม่ได้ฉันข้าวน้ำเป็นเวลา ๓ วัน พอถึงวันที่ ๔ จึงพบน้ำ ได้ดื่มน้ำแล้วก็ตกเย็นพอดี จึงต้องพักนอนอยู่ตรงนั้นอีก

พอเช้าขึ้นมาก็พากันเอาเมล็ดไผ่มาต้มฉันกันแทนข้าว พอประทังชีวิตเพื่อให้มีกำลัง เดินทางต่อมา เดินทางพบบ้านโยมแห่งหนึ่ง แล้วพักอยู่บริเวณนั้นคืนหนึ่ง เช้าขึ้นมาพอได้ฉันอาหารบ้าง แล้วก็เดินทางมาที่สระหงษ์ พอมาถึงสระหงษ์ พักอยู่ที่นั้นนานพอสมควรแล้ว ก็ได้รับจดหมายของท่านอาจารย์สิงห์ บอกให้มาประชุมกันที่นครราชสีมา จึงพากันเดินทางมา ๔ วัน ๔ คืน จึงถึงนครราชสีมา แล้วท่านอาจารย์สิงห์ก็ยังรอพระบางองค์มายังไม่ถึง

เมื่อทุกองค์มาพร้อมกันแล้วก็ประชุมปรึกษากันเพื่อตั้งสำนักกรรมฐานขึ้นที่ป่าใกล้หอรถนครราชสีมา ให้ชื่อว่า วัดป่าสาลวัน จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ได้จำพรรษาที่นั้นพรรษาหนึ่ง ปีต่อมาไปอยู่ที่เขาเม้งกับท่านคำดีที่ขอนแก่น ออกพรรษาแล้วพากันกลับมานครราชสีมา อยู่ประมาณเดือนกว่าๆ ก็ออกไปเที่ยวหาที่วิเวก แสวงหาความสงบจิตใจของตน เพื่อเป็นผลประโยชน์ของตนให้บริสุทธิ์ขาวสะอาด และปีต่อมาได้เที่ยวธุดงค์ไปทางลพบุรี ไปจำพรรษาที่วัดเขาพระงาม จำอยู่ในถ้ำนั้นได้ ๓ ปี ออกจากเขาพระงามก็มานครราชสีมาอีก ท่านอาจารย์สิงห์จึงให้ไปอยู่ดงขมิ้น ก็เลยไปและอบรมจิตใจของญาติโยมที่มานั่งสมาธิภาวนา แนะนำในการทำบุญบริจาคทาน พอให้รู้เข้าใจในการทำบุญให้ทาน

ออกจากดงขมิ้นก็เลยมาจังหวัดสุรินทร์ ในขณะนั้น ท่านอาจารย์ดูลย์ได้รับคำสั่งจากเจ้าคณะมณฑล ให้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบูรพาราม บูรณะปฏิสังขรณ์วัดบูรพาราม และได้เริ่มสร้างพระอุโบสถหลังใหญ่ขึ้นมายังไม่เสร็จเรียบร้อยดี จึงจำพรรษาอยู่ที่วัดบูรพาราม เพื่อช่วยร่วมมือร่วมกำลังกับท่านอาจารย์ดูลย์สร้างพระอุโบสถ เป็นเวลานานเกือบ ๑๐ ปี เมื่อพระอุโบสถเสร็จแล้ว ก็กลับไปอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ประจำอยู่ที่วัดพระงามอีกพรรษาหนึ่ง ก็ออกจากลพบุรีกลับไปอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ที่เขาน้อย ท่าแฉลบ ออกจากท่าแฉลบไปอยู่ทางเกาะหมาก และเที่ยวธุดงค์ตามเกาะ ได้เลยดู เกาะแม่ชี เกาะกูด และเกาะสีชังเป็นต้น เมื่อจวนเข้าพรรษา ก็จำพรรษาอยู่เกาะหมากผู้เดียว แต่พอออกพรรษาแล้ว ก็ไปเที่ยวธุดงค์ถึงจังหวัดตราด พักอยู่ตามสวนเงาะ สวนทุเรียน เมื่อมีญาติโยมไปหา ก็พานั่งสมาธิภาวนา ฝึกหัดจิตใจของตนให้สะอาดปราศจากมลทิน

เพราะว่าคนเรามีใจเจือด้วยกิเลส ถูกกิเลสครอบงำ ทุกคนต้องอาศัยการสั่งสมคุณงามความดีเอาไว้ เพื่อกำจัดสิ่งที่ไม่ดีให้เบาบางลงไป หรือทำให้หมดสิ้นไปได้ยิ่งดี

จากจังหวัดตราดไปจังหวัดระยอง จากระยองไปจันทบุรี พักอยู่ที่วัดป่าคลองกุ้ง และออกไปตามแถวนั้น มีอำเภอขลุง ได้แสดงธรรมอบรมพวกญาติโยมทางจิตใจ เพื่อเป็นประโยชน์ในทางดีทางชอบ เพื่อความบริสุทธิ์ดีงามของตน พอจวนเข้าพรรษา ได้ย้อนกลับไปหาท่านอาจารย์มั่นอีกครั้งหนึ่งที่สกลนคร ในปีนั้นได้ร่วมพิธีวิสาขบูชากับพระอาจารย์มั่น เมื่อพระเถระและญาติโยมเวียนเทียนเสร็จแล้ว ท่านอาจารย์มั่นได้แสดงธรรมเทศนาตั้งแต่ ๒ ทุ่ม จนเลย ๖ ทุ่ม พระบางรูปง่วงนอน นั่งสับปะหงกเอียงไปเอียงมา ท่านพระอาจารย์มั่นเทศน์ว่า ผู้ไม่มีศรัทธา ฟังเทศน์เพียงแค่นี้ก็ง่วงนอนแล้ว ท่านจึงหยุดเทศน์เพียงแค่นั้นก่อน แล้วอนุญาตไปพักผ่อนตามอัธยาศัย

เช้าขึ้นหลังจากฉันจังหันเสร็จแล้ว ต่างองค์ต่างกลับวัดของตน ท่านอาจารย์สามจึงเดินทางต่อไป จากจังหวัดหนองคาย ไปที่อำเภอท่าบ่อ เพื่อพบพระอาจารย์เทสก์ที่นั่น เมื่อเที่ยวหาความวิเวกบริเวณนั้นพอสมควรแล้ว จวนเข้าพรรษา ก็กลับมาหาท่านอาจารย์เทสก์ อีกพักหนึ่ง แล้วก็ลากลับมาที่ชลบุรี จำพรรษาที่บางพระ ส่วนท่านอาจารย์เทสก์ไปจำพรรษาที่จันทบุรี พอจวนจะออกพรรษาประมาณ ๕ วัน ก็ได้รับข่าวว่าท่านอาจารย์ใหญ่ทางสกลนคร คือท่านอาจารย์มั่นอาพาธหนัก ท่านอาจารย์เทสก์จึงบอกว่า ท่านจะมานมัสการอยู่พยาบาลท่านอาจารย์มั่นจนถึงที่สกลนคร

ต่อมาไม่นานก็ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์มั่นมรณภาพแล้ว ท่านนอนเฝ้ารักษาศพของท่านอาจารย์มั่นจนถึง ๓ เดือนกว่าจึงถึงพิธีประชุมเพลิง ในงานพิธีศพของท่านอาจารย์ใหญ่ครั้งนั้น เห็นว่าเป็นงานใหญ่มากเท่าที่เคยเห็นมาในสมัยนั้น มีพระมหาเถระทั้งทางฝ่ายคันถธุระและวิปัสนาธุระเป็นจำนวนมากไปประชุมนุมกัน ฝ่ายญาติโยมดูเหมือนเห็นว่าทุกจังหวัดก็ไปชุมนุมกันเช่นเดียวกัน

เมื่อประชุมเพลิงเสร็จแล้วท่านอาจารย์สามกล่าวว่า มีท่านองค์หนึ่งที่ลงไปเก็บอัฐิและมีพวกกรรมการเข้าดูแล เพราะเกรองคนอื่นจะแย่งเอาไป เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาเที่ยวธุดงค์ที่จังหวัดสุรินทร์อีกประมาณเดือนหนึ่ง แล้วจึงไปที่ชลบุรีอีกประมาณเดือนกว่า ก็ได้รับจดหมายจากท่านอาจารย์เทสก์ส่งมาจากภูเก็ตบอกให้ไปช่วยเผยแพร่ระเบียบแนวทางธุดงค์กรรมฐานที่ภูเก็ต จึงเดินทางไปพร้อมด้วยพระติดตามอีก ๑ องค์ โดยท่านอาจารย์เทสก์ส่งมูลค่าสำหรับพาหนะไปให้

เมื่อไปถึงภูเก็ตแล้ว ก็ให้เที่ยวธุดงค์ไปอยู่จังหวัดพังงานบ้าง จังหวัดกระบี่บ้าง เที่ยวธุดงค์กรรมฐานและอบรมญาติโยมในที่ต่างๆ ส่วนผู้ที่แสดงความไม่พอใจไม่อยากให้อยู่พยายามให้หนีอยู่เสมอ แต่เมื่อพิจารณาเห็นว่า การเผยแพร่แก่ญาติโยมในทางที่ถูกต้องนั้น เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์แต่ละองค์โดยตรง โดยไม่ต้องอยู่กับความรู้สึกทางใจของใคร จึงพยายามอดทนอยู่ถึง ๓ ปีกว่า

ที่ภูเก็ตนี้ได้เณรฉลองมารับใช้ปฏิบัติอยู่ด้วยถึง ๔ ปี และได้พามาเที่ยวถึงจังหวัดสุรินทร์ ประจำอยู่ ๑ พรรษาก็กลับไปอยู่ภูเก็ตอีกตั้ง ๖ ปี กลับจากภูเก็ตมาอยู่เขาแก้ว ๒ พรรษา แล้วก็ไปจังหวัดจันทบุรี เที่ยวทำความเพียรหาที่วิเวกแก่จิตใจของตนอยู่เสมอ ไม่ท้อถอยจากความเพียร ไม่มีเวลาหยุดหย่อน ต้องทำจนกว่าชนะกิเลส คือความอยากทุกอย่าง ตัวกิเลสคือความรักกับความชัง ถ้าวางพวกนี้ได้แล้ว ทุกอย่างก็มีแต่ความสงบสุขล้วนๆ เกิดขึ้นทั้ง กาย วาจา และใจ ก็กายก็สงบ วาจาก็สงบ เป็นภูมิจิตที่มีสติเป็นหลัก เป็นที่ตั้งแน่วแน่อยู่อย่างนี้ จึงนับว่าถูกหนทางที่จะเข้าถึงมรรคผล เพราะประสงค์ให้พ้นทุกข์ คือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อันนี้เป็นกองทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ เพราะเหตุนั้นจึงควรหาสิ่งที่ชอบ อันได้แก่ความหมดจดของจิต และผู้ที่ถึงภาวะอันนี้ จะเดินนอกทางภาวนาไม่ได้ ต้องปรารภความเพียรให้สม่ำเสมอ มีการภาวนาสมาธิจนกว่าจะทำให้ใจสงบ ขาดจากอธรรม คือความนึกคิดโดยไม่ท้อถอย พยายามวางภาระอันหนักทางจิตใจให้หมดสิ้น เลือกแต่จิตสงบว่างเปล่าตั้งอยู่เป็นหนึ่ง ดังนี้

ต่อมา พอออกจากจังหวัดจันทบุรี ก็มาที่จังหวัดนครราชสีมา เพราะได้ข่าวว่าท่านอาจารย์สิงห์ถึงแก่มรณภาพแล้ว ที่จังหวัดนครราชสีมา ได้ร่วมในพิธีพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์สิงห์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดสุรินทร์อีก พักอยู่จนสิ้นฤดูแล้ง จึงเดินทางไปจังหวัดพิษณุโลก ไดทำสำนักจำพรรษาในป่าแห่งหนึ่ง มีโยมสร้างกุฏิเล็กๆ ให้อยู่จำพรรษา โยมเจ้าของกุฏิได้มานอนอยู่ด้วยเป็นประจำ ถ้าวันไหนพ่อไม่มา ลูกชายก็มาแทนเป็นประจำทุกคืน

ในพรรษานี้ ทางใจก็สงบเงียบดี แต่ทางกายไม่สู้จักสงบนัก เพราะมีภัยมาเบียดเบียนอย่างแรง คือ มีคนมาลอบยิงปองร้ายถึง ๓ ครั้ง แต่เมื่อมาถึงโยมที่นอนด้วยก็ตื่นทุกครั้ง ผู้ปองร้ายจึงไม่อาจทำร้ายได้ ทั้งนี้อาจด้วยเดชะบุญกุศลที่พยายามสั่งสอนอบรมมา ไม่เคยคิดเบียดเบียนใครแม้แต่ทางใจ จึงทำให้ท่านปลอดภัยได้ ไม่มีอันตรายในพรรษานั้น

เมื่ออกพรรษาแล้ว จึงพาญาติโยมไปทางเชียงใหม่อีก ในครั้งนี้มีท่านคำดีและเณรฉลอง พร้อมโยมพุ จากสุรินทร์ (ปัจจุบันโยมพุบวชอยู่ที่วัดไตรวิเวก อ.เมือง จ.สุรินทร์) ร่วมเดินทางไปเชียงใหม่ด้วย ที่ไปครั้งนี้เพื่อหาสถานที่วิเวกเร่งทำความเพียรทางจิตใจของตนและศึกษาภูมิประเทศ ชีวิตจิตใจของประชาชนเผ่าต่างๆ ในแถบนั้น ได้ไปจำพรรษาที่บ้านแม่ลอด อำเภอแม่แตง กับพวกกระเหรี่ยงอยู่ ๒ พรรษา ออกพรรษาแล้วเที่ยววิเวกไปแถวเชิงเขากับพวกแม้วพวกกระเหรี่ยงจนถึงเดือน ๕ มีชาวบ้านผาเค็ง ทำกุฏิให้อยู่ มีพวกญาติโยมมานั่งภาวนาทุกๆ คืนจำนวนมากไม่เคยขาด

พักอยู่ที่นั้นประมาณ ๑ เดือน ก็มีพระมาฝึกหัดธุดงค์ ให้มาพักรวมกันในที่นั้น พระองค์นั้นไม่ยอม บอกว่าไปพักที่โคนต้นไม้ เพราะมีผ้าชาวและมีแม่ชีเคยตายอยู่ตรงนั้น พระองค์นั้นมาจากเมืองละโว้ ลพบุรี วันต่อมามีพระแปลกหน้าองค์หนึ่งเข้ามาในที่นั้น พระจากลพบุรีจึงถามว่าท่านอยู่ที่ไหน พระองค์นั้นจึงตอบว่า ผมอยู่บ้านนี้แหละ แต่ห่างจากบ้านนี้ ๒ กิโลเมตร พระจากลพบุรีจึงถามว่า ท่านจะมาปองร้ายหลวงพ่อใช่ไหม พระนั้นก็ตอบว่าใช่ครับ พระจากลพบุรีจึงตอบว่า อย่ามานึกปองร้ายอะไรท่านเลย เพราะท่านก็อยู่ชั่วคราวและไม่มีความประสงค์จะเบียดเบียนใครๆ ทั้งนั้น

หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันก็มีคนมาทำร้ายจริงๆ เขาได้รับจ้างด้วยเหล้าคนละ ๓ บาทเท่านั้น คือค่ำวันหนึ่ง ท่านยังไม่เข้าห้องนอนเห็นมีคนมาจุดเทียนกราบๆ ไหว้ๆ อยู่ นึกเฉลียวใจจึงได้ถามว่า โยมพากันมาทำอะไร ถามถึง ๒ ครั้งเขาก็ไม่พูดอะไรเลย ลุกขึ้นเดินหนีไปเฉยๆ หลังจากนั้นอีกประมาณ ๑๐ วัน เป็นเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ท่านกำลังนั่งเข้าสมาธิอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง เมื่ออกจากสมาธิแล้วรู้สึกตัวแปลกประหลาดไปหมดทุกอย่างในขณะนั้น คือรู้สึกตึงๆ ที่ใบหน้าจึงจุดเทียนขึ้นมองดูไปข้างหน้า เห็นก้อนหินเท่ากำปั้นตกอยู่ ๑ ก้อน และข้างๆ ตัวอีก ๒ ก้อน มองมาถึงตัวก็เห็นมีเลือดเปรอะเกรอะกรัง เปื้อนตัวและเต็มจีวรไปหมด คิดว่านี้เลือดอะไรหนอ แล้วยกมือลูบไปทั่วตัว ไม่เห็นเจ็บตรงไหน พอเอามือลูบปากและใบหน้าก็เห็นมีเลือดเต็ม แล้วค่อยๆ รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น ก็คิดว่าเรานี้ถูกเขาทำร้ายอย่างจริงจังแล้ว

ก้อนหินที่ขว้างมา ๓ ก้อนนั้น ๒ ก้อนถูกเฉพาะมุ้งและจีวร อีกก้อนหนึ่งถูกปากอย่างจัง เลือดไหลออกจากปากแห่งเดียวในขณะที่อยู่ในสมาธิอย่างมารู้สึกตัวนั้น พวกผู้ร้ายคงคิดว่าท่านตายแล้ว จึงตีฝาให้ล้มทับเข้ามาอีก

ท่านอาจารย์สามเล่าว่าพอรู้สึกตัวว่ามีผู้มาทำร้ายจริงๆ ก็นึกว่าท่านคงตายแน่ นานเกือบชั่วโมง ถึงได้จุดเทียนส่องดู จึงรู้สึกว่าอะไรเป็นอะไรดังกล่าวแล้ว เมื่อถึงสติหยั่งรู้ว่ายังไม่ตาย จึงลงจากกุฏิไปที่บ้านโยม แจ้งเหตุร้ายให้โยมทราบ พวกญาติโยมจึงได้มาช่วยซักมุ้งและซักจีวร และคืนนั้นขอร้องให้ท่านพักที่บ้านโยมคืนหนึ่ง พอสว่างก็กลับมาดูกุฏิของตน

หลังจากนั้นก็บอกญาติโยมว่าอยู่ที่นี้ไม่ได้อีกแล้ว จะขอลาญาติโยมเดินทางต่อไป ญาติโยมคัดค้าน ขออ้อนวอนให้อยู่ต่อไป จะช่วยป้องกันอันตรายทุกอย่าง ญาติโยมเหล่านี้มีความเจ็บแค้นในใจมาก เขารับปากอาสาจะแก้แค้นพวกผู้ร้ายให้ท่าน ท่านไม่ให้ทำเช่นนั้น เพราะท่านคิดว่าจะเป็นเวรเป็นกรรมแก้แค้นกันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นบาปกรรมเปล่าๆ ท่านบอกว่า อาจเป็นเวรกรรมอะไรของท่านในปางก่อนก็ได้ จึงถูกเขาทำร้ายร่างกายให้ได้รับความเจ็บถึงเพียงนี้ และขอให้กรรมนั้นจงเป็นอโหสิต่อไป

ในพรรษานั้นได้ท่านจันดี มาร่วมจำพรรษาอยู่ด้วย พวกที่ได้ทำร้ายท่าน พอรู้ตัวเข้าก็ตกใจกลัว ล้มป่วยได้ไข้แล้วก็ตายไปหมด ออกพรรษาแล้วได้ลาญาติโยมไปเที่ยวทางบ้านโป่ง ซึ่งเป็นวัดที่พระอาจารย์มั่นเคยจำพรรษาอยู่ จึงจำพรรษาอยู่ที่บ้านโป่งหนึ่งพรรษา ครั้นออกพรรษาแล้วก็เที่ยวธุดงค์ต่อไปทางบ้านจอ และบ้านถ้าเชียงดาว แล้วย้อนกลับมาพักอยู่ที่บ้านโป่งอีกครั้งหนึ่ง

วันหนึ่งมีญาติโยมไปจากสุรินทร์หลายคน ระเหเร่ร่อนตามไปจนถึงบ้านโป่ง พร้อมทั้งขอร้องให้กลับมาอยู่ทางจังหวัดสุรินทร์ ท่านเล่าว่า การกลับมาครั้งนี้ ก่อนกลับนั้นได้พิจารณาเป็นเวลานานว่า เราได้เที่ยวธุดงค์วิเวกไปในที่ต่างๆ อย่างมากมายตั้งแต่หนุ่มจนชราภาพ ตั้งแต่ร่างกายแข็งแรงจนกระทั่งร่างกายอ่อนแอลง กำลังวังชาก็ถอยลงมากแล้วน่าจะกลับมาอยู่ถิ่นเดิม นอกจากจะได้อยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ซึ่งชราด้วยกัน มีพระอาจารย์ดูลย์เป็นต้นแล้ว ก็ยังมีโอกาสดูแลมารดาซึ่งชราภาพมากอยู่แล้ว และหาโอกาสแนะนำธรรมปฏิบัติแก่มารดาและญาติโยมทั้งหลาย ตลอดจนถึงศาสนิกชนทางจังหวัดสุรินทร์ต่อไปจึงได้เดินทางกลับขังหวัดสุรินทร์

ญาติโยมทำที่ให้จำพรรษาอยู่ที่บ้านรำเบอะได้ ๑ พรรษา ก็มีเรื่องคือถูกบางคนฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ไม่ให้อยู่ที่ตรงนั้น เพราะเป็นที่ทำเล จึงย้ายมาอยู่ที่ป่าที่ใกล้กิโลเมตรที่ ๑๑ ถนนทางสาย สุรินทร์-ปราสาท ก็ถูกฟ้องร้องว่าเป็นที่ทำเลอีกครั้ง ทั้งที่ปัจจุบันนี้มีคนเป็นเจ้าของหมดแล้ว ญาติโยมจำนวนหนึ่งจึงถวายที่ห่างจากที่ตรงนั้นไมไกลนักทำเป็นวัดป่าเล็กๆ อยู่ และมีผู้ศรัทธาซื้อที่ดินขยายวัดจนถึงทุกวันนี้ เป็นวัดโดยสมบูรณ์แบบแล้ว คือวัดป่าไตรวิเวก และท่านอาจารย์สามก็ได้จำพรรษาในวัดนั้นจนถึงปัจจุบันนี้

(ท่านพระอาจารย์สาม มรณภาพเมื่อ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น